กระบี่เย้ยยุทธจักร 2018 ( The Smiling, Proud Wanderer ) [ รีวิว ]


ละคร "กระบี่เย้ยยุทธจักร 2018" (The Smiling, Proud Wanderer) ดัดแปลงมาจากนวนิยายกำลังภายในเรื่อง "เซี่ยวอ้าวเจียงหู" (The Smiling, Proud Wanderer) ซึ่งเป็นหนึ่งในสุดยอดผลงานของ "กิมย้ง" ถูกนำมาเผยแพร่เป็นครั้งแรกบนหน้าหนังสือพิมพ์  "หมิงเป้า" (ของกิมย้งเอง) ในฮ่องกง ระหว่างวันที่ 20  เมษายน 2510 - 12 ตุลาคม 2512 แปลเป็นภาษาไทยโดย "น.นพรัตน์" เดิมใช้ชื่อเรื่อง "ผู้กล้าหาญคะนอง" ภายหลังเป็นที่รู้จักในชื่อ "เดชคัมภีร์เทวดา" (ตามชื่อภาพยนตร์ฮ่องกง) ก่อนเปลี่ยนชื่อนิยายเป็น "กระบี่เย้ยยุทธจักร" ในที่สุด 


"กระบี่เย้ยยุทธจักร" เป็นนิยายกำลังภายในเรื่องเดียวของกิมย้งที่ไม่อ้างถึงประวัติศาสตร์ในยุคใด แต่เป็นการเขียนเพื่อเสียดสีการเมืองในยุคนั้น (เป็นช่วงที่ประเทศจีนเกิดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และมีการต่อสู้ภายในเพื่อแย่งชิงอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์) เนื้อหากล่าวถึงเรื่องราวความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งในยุทธจักรระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม แต่ทว่าฝ่ายธรรมะใช่จะมีแต่คนดีจึงเกิดมีวิญญูชนจอมปลอมที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้เป็นใหญ่  เช่นเดียวกับฝ่ายอธรรมที่ไม่ได้มีแต่คนชั่วช้าเสมอไป ทำให้เกิดความสับสนว่าใครเป็นฝ่ายธรรมะและอธรรมกันแน่

เนื้อหาในละครเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์เมื่อ 18 ปีก่อน...  ในตอนนั้นสิบผู้อาวุโสแห่งพรรคตะวันจันทรา ได้บุกขึ้นไปบนยอดเขาหัวซาน จึงเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างอาวุโสพรรคมารกับยอดฝีมือฝ่ายธรรมะ ด้วยความที่สิบผู้อาวุโสมีฝีมือสูงส่งกว่า ยอดฝีมือฝ่ายธรรมะจึงบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ฝ่ายธรรมะเห็นท่าไม่ดีเลยจำต้องใช้กลลวงเพื่อล่อให้สิบผู้อาวุโสเข้าไปติดกับภายในถ้ำ ก่อนขังลืมไว้ในนั้นจนเสียชีวิตทั้งหมด (ก่อนตายเหล่าผู้อาวุโสได้คิดค้นเคล็ดวิชาใหม่ที่สามารถปราบเพลงกระบี่ของห้าสำนัก จึงจารึกกระบวนท่าต่างๆ ลงบนผนังถ้ำ ซึ่งภายหลัง "ลิ่งหูชง" (หรือ "เล่งฮู้ชง" ในสำเนียงแต้จิ๋ว) ได้มาเห็นเข้าโดยบังเอิญ)


แปดปีต่อมา สำนักซงซาน, หัวซาน, เหิงซาน (恒山- เป็นสำนักแม่ชี), ไท่ซาน และ เหิงซาน (衡山) ซึ่งจับมือกันเป็นสมาพันธ์สำนักกระบี่เรียกว่า "ห้าขุนเขากระบี่" พร้อมเหล่ายอดฝีมือจากสำนักกระบี่ฝ่ายธรรมะได้พากันบุกผาไม้ดำเพื่อกวาดล้างพรรคตะวันจันทรา หลังเหตุการณ์ในครั้งนั้น ห้าขุนเขากระบี่ สำนักเส้าหลิน และบู๊ตึ๊ง จึงได้ชื่อว่าเป็นสามเสาหลักของยุทธภพ ขณะเดียวกันก็เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายออกเป็น 3 ขั้วอำนาจใหญ่


* ห้าสำนักกระบี่ดังกล่าวตั้งชื่อตามสถานที่ตั้ง  (ซาน แปลว่า ภูเขา) โดยเขาซงซาน (ภูกลาง) อยู่ในมณฑลเหอหนาน, เขาหัวซาน (ภูตะวันตก) อยู่ในมณฑลซานซี, เขาเหิงซาน (恒山) หรือ ภูเหนือ อยู่ในมณฑลซานซี, เขาไท่ซาน (ภูตะวันออก) อยู่ในมณฑลซานตง และเขาเหิงซาน (衡山) หรือ ภูใต้ อยู่ในมณฑลหูหนาน

สิบปีต่อมา "ซ่างกวนอวิ๋น" หัวหน้าหน่วยไป๋หู่แห่งพรรคตะวันจันทรา  ("ไป๋หู่" แปลว่า "เสือขาว" - เป็นหนึ่งในสัตว์เทพทั้งสี่)  ถูกศิษย์สำนักซงซานนำโดย "เฟ่ยปิน" วางกำลังล้อมจับและพูดจาเยาะเย้ยถากถาง ซ่างกวนอวิ๋นจึงประณามเฟ่ยปินและศิษย์สำนักซงซานว่าเป็นพวกหมาหมู่ แต่ศิษย์สำนักซงซานขอเพียงได้กำจัดคนพรรคมารจึงไม่สนว่าวิธีการจะหยาบช้าและสกปรกหรือไม่ ขณะที่พวกเขากำลังจะรุมสังหารซ่างกวนอวิ๋นก็มียอดฝีมือคนหนึ่งเข้ามาขวางและสังหารศิษย์สำนักซงซานแทบทั้งหมดในชั่วพริบตา (ซ่างกวนอวิ๋นถูกชายคนดังกล่าวผลักกระเด็น แต่ร่างเขายังไม่ทันตกสู่พื้นศิษย์สำนักซงซานก็ถูกฆ่าตายเกือบหมด) พอรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือ "ตงฟางปู้ป้าย" (บูรพาไร้พ่าย)  แห่งพรรคตะวันจันทรา เฟ่ยปินก็ทิ้งเพื่อนร่วมสำนักแล้วรีบเผ่นทันที

* "ตงฟางปู้ป้าย" เป็นคนเดียวที่สำเร็จ "วิชาทานตะวัน" จนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่ไร้เทียมทาน วิชาดังกล่าวขึ้นชื่อในเรื่องความรวดเร็วและพลังลมปราณ ฝึกได้เฉพาะผู้ชายแต่ผู้ฝึกต้องตอนตัวเองก่อนเพื่อไม่ให้ธาตุไฟเข้าแทรก หลังฝึกสำเร็จแล้วร่างกายละจิตใจจะมีความเป็นหญิงมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังรู้ว่าตงฟางปู้ป้ายยึดผาไม้ดำคืนได้สำเร็จ ซ้ำยังฆ่า "เล่อโฮ่ว" กับ "จงเจิน" ศิษย์ผู้น้องของตน "จั่วเหลิ่งฉาน"  (เจ้าสำนักซงซาน และผู้นำห้าขุนเขากระบี่) เลยคิดใช้โอกาสนี้ชิงคัมภีร์กระบี่ปราบมาร (ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากคัมภีร์ทานตะวันฉบับไม่สมบูรณ์) มาจากสกุลหลิน เพราะมีเพียงเพลงกระบี่ปราบมารเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับวิชาทานตะวันของตงฟางปู้ป้ายได้ หลังเคยขอคัมภีร์ดังกล่าวจากสกุลหลินดีๆ แต่ไม่เป็นผล เขาจึงสั่งให้ "ลู่ไป่" ส่งสารด่วนไปแจ้ง "ติงเหมี่ยน" (ศิษย์น้อง) ว่านับจากนี้ไม่ต้องเกรงใจ "หลินเจิ้นหนาน" (หัวหน้าสำนักคุ้มภัยฝูเวย) อีกต่อไป เพราะตงฟางปู้ป้ายเหิมเกริมหนักขึ้นทำให้ยุทธภพตกอยู่ในอันตราย เจิ้นหนานจึงไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป แต่ถ้าขืนยังคงดื้อดึงไม่ยอมมอบคัมภีร์ให้ก็จำเป็นต้องใช้วิธีบีบบังคับ

ณ สำนักคุ้มภัยฝูเวยในเมืองฝูโจว (มณฑลฝูเจี้ยน)... "หวังฟูเหริน" (ภรรยาของหลินเจิ้นหนาน / ลูกสาวเจ้าสำนักดาบทอง) นั่งดูสามีฝึกยุทธ์ให้เหล่าหัวหน้าผู้คุ้มภัยด้วยความชื่นชม เธอนึกว่าเขาฝึกเพลงกระบี่ปราบมารสำเร็จแล้วจึงแนะให้เขามอบคัมภีร์กระบี่ปราบมารแก่สำนักซงซานตามคำร้องขอเพื่อจะได้ไม่ผิดใจกันในภายหลัง  เจิ้นหนานชี้ว่าซงซานเป็นสำนักกระบี่ฝ่ายธรรมะต่อให้ตนยืนกรานปฏิเสธพวกเขาก็ทำอะไรตนไม่ได้และยิ่งไม่มีทางปล้นชิงไป หวังฟูเหรินได้ยินดังนั้นจึงสงสัยว่าเช่นนั้นแล้วเขาขอความช่วยเหลือจากสำนักหัวซานทำไม ที่แท้เจิ้นหนานคิดใช้ "เย่ว์ปู้ฉิน" (เจ้าสำนักหัวซาน) เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย หมายใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์กับสำนักซงซานเพื่อให้การคุ้มภัยในแดนจงหยวน (ที่ราบภาคกลาง) ของพวกตนราบรื่น (เขาให้ความสำคัญกับการคบสหายมากกว่าเพลงยุทธ์) 

หลังได้รับสารขอความช่วยเหลือจากเจิ้นหนาน เย่ว์ปู้ฉินจึงสั่งให้ศิษย์เอก  "ลิ่งหูชง" [เล่งฮู้ชง] เดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยฝูเวยกับศิษย์รอง "เหลาเต๋อนั่ว" ทันที เขาบอกให้ทั้งคู่ควบม้าเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตนกับ "หนิงจงเจ๋อ" (หรือ "เย่ว์ฟูเหริน" - ภรรยาเย่ว์ปู้ฉิน) จะพาศิษย์คนอื่นๆ ตามไปสมทบภายหลัง ทั้งยังกำชับว่าห้ามมีเรื่องบาดหมางกับศิษย์สำนักซงซานโดยเด็ดขาด "เย่ว์หลิงซาน" (ลูกสาวเย่ว์ปู้ฉินกับหนิงจงเจ๋อ) ได้ยินดังนั้นจึงขอติดตามศิษย์พี่ใหญ่ (ลิ่งหูชง) กับศิษย์พี่รอง (เต๋อนั่ว) ไปยังสำนักคุ้มภัยฝูเวย

ติงเหมี่ยนแห่งสำนักซงซานไปหาเจิ้นหนานที่สำนักคุ้มภัยฝูเวยอีกครั้งเพื่อเจรจาเรื่องคัมภีร์กระบี่ปราบมารโดยขอแลกกับการเป็นพันธมิตรกัน เจิ้นหนานรู้สึกยินดีที่สำนักซงซานต้องการเป็นพันธมิตรกับตน แต่ยังคงยืนกรานว่าตนมอบคัมภีร์ประจำตระกูลให้ไม่ได้ เพราะ "หลินหย่วนถู" ปู่ของตนสั่งเสียเอาไว้ว่าห้ามมอบคัมภีร์กระบี่ปราบมารให้คนนอกโดยเด็ดขาด ตนเป็นลูกหลานจึงไม่อาจฝ่าฝืน ติงเหมี่ยนเห็นว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์จึงเตือนว่าคัมภีร์ดังกล่าวจะนำเภทภัยมาสู่สกุลหลิน เขาขอให้เจิ้นหนานลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง จากนั้นก็ซัดพลังฝ่ามือใส่จนเจิ้นหนานถึงกับจุก (ทั้งคู่นั่งประลองกำลังภายในกันขณะเจรจา) และกลับไปด้วยความโกรธ

* หลินหย่วนถู เป็นอดีตพระวัดเส้าหลินนามว่า "ตู้หยวน" ผู้คิดค้นเพลงกระบี่ปราบมาร 72 กระบวนท่า โดยตีความและดัดแปลงมาจากคัมภีร์ทานตะวันฉบับลักจำ (ที่สองศิษย์สำนักหัวซานลอบจำคนละครึ่ง) จากนั้นก็เขียนเคล็ดวิชาลงบนจีวรแล้วส่งจดหมายไปให้อาจารย์เพื่อลาสิกขา ก่อนหันมาใช้ชื่อว่า "หลินหย่วนถู" ซึ่งเป็นชื่อเดิมของตนแล้วก่อตั้งสำนักคุ้มภัยฝูเวย


ขณะที่ "หลินผิงจือ" (ลูกชายหลินเจิ้นหนาน) กำลังเดินทางกลับสำนักพร้อมเหล่าผู้คุ้มภัย เขาบังเอิญผ่านมาพบหลิงซาน (ซึ่งลงจากเขาหัวซานในมณฑลซานซี เพื่อมุ่งหน้าไปยังสำนักคุ้มภัยฝูเวยในมณฑลฝูเจี้ยน) กำลังนั่งดื่มน้ำชาที่โรงเตี๊ยมริมทางกลางป่ากับลิ่งหูชงและเต๋อนั่ว หลิงซานเห็นรูปโฉมอันงดงามราวเทพบุตรของผิงจือก็ไม่อาจละสายตาและเผลอจ้องมองเขาอย่างลืมตัว แต่ผิงจือเพียงปรายตามองเธอแล้วขี่ม้าผ่านเลยไป หลังจากนั้นไม่นานขบวนของผิงจือถูกกลุ่มชายชุดดำจำนวนมากดักซุ่มโจมตี ลิ่งหูชงและพวกเห็นดังนั้นจึงรีบตามไปช่วย

ในเวลาเดียวกันนั้นได้เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นที่สำนักคุ้มภัยฝูเวย เมื่ออยู่ๆ "อาวุโสหลี่" (ผู้ดูแลม้า) ก็เสียชีวิตกระทันหันที่คอกม้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่เป็นคนร่างกายแข็งแรง แถมสภาพศพยังไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยบาดเจ็บใดๆ ในเวลาต่อมา "หลิงเฉิง" ซึ่งเป็นคนหนุ่มร่างกายกำยำที่ทำงานในโรงครัวก็เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาคาห้องครัวอีกราย หลังใช้เข็มเงินตรวจสอบศพแล้วพบว่าไม่โดนพิษแถมสภาพศพยังไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ เหมือนอาวุโสหลี่ เจิ้นหนานก็ตระหนักได้ว่าพวกตนกำลังมีภัยจึงสั่งให้ "หัวหน้าไป๋" พาลูกน้องจำนวนหนึ่งเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าสำนักดาบทอง "หวังหยวนป้า" ซึ่งเป็นพ่อตาของตนทันที (สำนักดาบทองอยู่ในเมืองลั่วหยาง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลเหอหนาน) 


ขณะช่วยผิงจือรับมือชายชุดดำในป่าไผ่ ลิ่งหูชงเห็นว่าเหล่าชายชุดดำล้วนมากฝีมือจึงบอกให้หลิงซานถอยออกไปอยู่ห่างๆ แต่หลิงซานไม่เชื่อจึงเกือบถูกชายชุดดำสังหาร โชคดีที่ผิงจือยิงธนูสังหารคนร้ายได้ทันเวลา และนั่นก็ยิ่งทำให้หลิงซานประทับใจในตัวเขามากขึ้น ลิ่งหูชงดุหลิงซานที่ดื้อรั้นจนเกือบโดนฆ่าตาย เต๋อนั่วจึงออกตัวแทนว่าเธอยังเด็กและด้อยประสบการณ์ ลิ่งหูชงและผิงจือต่างคารวะขอบคุณซึ่งกันและกัน หลังรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือศิษย์เอกสำนักหัวซาน ผิงจือก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาเรียกลิ่งหูชงว่า "พี่ใหญ่ลิ่งหู" และบอกว่าตนคือ "หลินผิงจือ" แห่งสำนักคุ้มภัยฝูเวย


หัวหน้าไป๋แห่งสำนักคุ้มภัยฝูเวยและพวกรีบควบม้ามุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือจากสำนักดาบทองแต่ถูกคนร้ายลอบสังหารกลางป่าเสียก่อน แถมคนร้ายซึ่งเป็นชายชุดดำยังนำศพของทั้งหกคนมานอนเรียงหน้าสำนักคุ้มภัย พร้อมข้อความข่มขู่ตัวใหญ่ยักษ์ (เขียนด้วยเลือด) ว่า "พ้นประตูสำนักสิบก้าวต้องตาย" แถมยังตีเส้น (ห่างจากประตูสิบก้าว) เอาไว้ให้ด้วย หวังฟูเหรินนึกไม่ถึงว่าสำนักซงซานซึ่งเป็นฝ่ายธรรมะจะใช้วิธีการต่ำช้า แต่เจิ้นหนานไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของสำนักซงซานและเกรงว่าอาจมีมือที่สามสวมรอยสร้างสถานการณ์ให้เกิดการแตกแยก หวังฟูเหรินเกรงว่าจะถูกฆ่าล้างสำนักจึงขอให้เจิ้นหนานมอบคัมภีร์กระบี่ปราบมารแก่สำนักซงซาน เจิ้นหนานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธ เขาชี้ว่าคัมภีร์กระบี่ปราบมารเป็นสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ลูกหลานสกุลหลิน แม้ต้องตายตนก็ไม่มีวันยอมให้คนนอกแย่งชิงไป

เจิ้นหนานสั่งให้คนในสำนักเฝ้าระวังภัยและวางกำลังอย่างแน่นหนา ทั้งยังห้ามแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนนอกรับรู้ พร้อมทั้งสั่งทำลายหลักฐานให้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อผิงจือกลับมาพร้อมหลิงซาน ลิ่งหูชง และเต๋อนั่ว จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นที่สำนักของตน หวังฟูเหรินรู้สึกผิดหวังและร้อนใจที่เย่ว์ปู้ฉินไม่ได้มาด้วย แต่เจิ้นหนานไม่อยากพูดถึงเรื่องไม่ดีต่อหน้าลูกจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเลี้ยงต้อนรับทุกคนเป็นอย่างดี หลิงซานถูกใจผิงจือประกอบยังงอนที่โดนดุจึงทำเมินใส่ลิ่งหูชง ครั้นผิงจือรู้ว่าหลิงซานเพิ่งออกจากมณฑลซานซีเป็นครั้งแรกเขาจึงรับปากว่าวันหลังจะพาเธอไปเที่ยว จากนั้นก็ชวนเธอไปดูของแปลกๆ ที่ตนสะสมเอาไว้ ทั้งคู่ลุกจากโต๊ะอาหารได้ไม่นานก็มีคนลอบทำลายเสาธงขนาดใหญ่ของสำนักคุ้มภัยฝูเวย แถมยังวางยาจนม้าในคอกตายเกลื่อน

เจิ้นหนานสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของสำนักซงซานแต่ลิ่งหูชงไม่คิดเช่นนั้น เขานึกถึงตอนที่ตนต่อสู้กับชายชุดดำในป่าและจำได้ว่าคนร้ายพูดสำเนียงปาสู่ (สำเนียงที่ใช้ในมณฑลเสฉวนและทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลฉงชิ่ง) ที่สำคัญเพลงกระบี่ที่คนร้ายใช้ไม่ใช่วิชาของสำนักซงซาน เจิ้นหนานยืนยันว่าตนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับสำนักหรือยอดฝีมือที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ครั้นได้ยินว่าสภาพศพของเหล่าผู้คุ้มกันที่โดนลอบสังหารล้วนไม่มีบาดแผลและไม่โดนพิษลิ่งหูชงจึงขอดูศพ หลังผ่าศพหัวหน้าไป๋แล้วพบว่าหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ ลิ่งหูชงจึงสงสัยว่าหัวหน้าไป๋อาจเสียชีวิตเพราะฝ่ามือขยี้ใจ แต่เขายังไม่มีหลักฐานเลยไม่กล้าฟันธง (ฝ่ามือขยี้ใจ เป็นวิชาของสำนักกระบี่ชิงเฉินในมณฑลเสฉวน สามารถซัดหัวใจคนแตกเป็นเสี่ยงๆ ในฝ่ามือเดียวโดยไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผลบนศพผู้ตาย เรียกได้ว่าฆ่าคนไม่เห็นเลือดนั่นเอง)

ลิ่งหูชงคิดที่จะออกไปตรวจตราบริเวณโดยรอบหมายสืบหาเบาะแสและร่องรอยคนร้ายจึงฝากให้เต๋อนั่วช่วยปกป้องคนของสำนักคุ้มภัยฝูเวย แต่เต๋อนั่วอาสาออกไปทำหน้าที่ดังกล่าวแทนโดยให้เหตุผลว่าลิ่งหูชงฝีมือสูงส่งกว่าตน และตนก็ถนัดเรื่องการปลอมตัวจึงเหมาะที่จะออกไปสืบหาข่าวมากกว่า ลิ่งหูชงได้ยินดังนั้นจึงตอบตกลง แต่พอรู้ว่าหลิงซานยังไม่กลับห้องพัก ซ้ำยังออกไปล่าหมูป่ายามวิกาลกับผิงจือ ลิ่งหูชงก็อดเป็นห่วงไม่ได้จึงทิ้งสำนักคุ้มภัยแล้วออกไปตามหาทั้งคู่ในป่า นึกไม่ถึงว่าคืนนั้นจะมีกลุ่มนักฆ่าชุดดำบุกมาเข่นฆ่าผู้คนในสำนักคุ้มภัยฝูเวย

ขณะที่ผิงจือกับหลิงซานกำลังล่าหมูป่า อยู่ๆ ผู้ติดตามของทั้งคู่ก็ถูกธนูยิงเข้าที่แสกหน้า หลังจากนั้นสองหนุ่มสาวก็กลับกลายเป็นฝ่ายถูกไล่ล่า ลิ่งหูชงได้ยินเสียงนกหวีดขอความช่วยเหลือจากหลิงซานจึงรีบตามเสียงไป ครั้นไปถึงก็พบว่าทั้งคู่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าชายชุดดำ ลิ่งหูชงจึงเข้าไปขวางพลางบอกให้ทั้งคู่รีบหนีไปและช่วยสกัดคนร้ายเอาไว้ ถึงกระนั้นก็มีชายชุดดำจำนวนหนึ่งไล่ตามทั้งคู่ไป

เจิ้นหนานเห็นลูกน้องตายเกลื่อนก็รู้สึกตกใจ เขาและลูกน้องคนสนิทพยายามต่อสู้กับคนร้าย แต่คนร้ายฝีมือเหนือชั้นกว่าลูกน้องของเขาจึงถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา หนึ่งในคนร้ายฉวยโอกาสซัดมีดสั้นใส่เจิ้นหนาน เจิ้นหนานจึงใช้มือรับมีดสั้นและบังเอิญจับเข้าที่คมมีดจนเป็นแผลฉกรรจ์ ไม่นานเขาก็พบว่าตนเองโดนพิษทำให้ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้จึงถูกคนร้ายใช้ดาบฟันหลายแผล

ลิ่งหูชงสงสัยว่าผู้นำกลุ่มชายชุดดำอาจเป็น "สี่ศิษย์ใหญ่" แห่งสำนักกระบี่ชิงเฉิน (เป็นสำนักเต๋าอยู่บนเขาชิงเฉิน) เลยแกล้งเปรยว่า "ชิงเฉินซื่อโซ่ว" (สี่เดรัจฉานชิงเฉิน) หนึ่งในคนร้ายได้ยินดังนั้นจึงแย้งอย่างลืมตัวว่าพวกตนคือวีรบุรุษ  "ชิงเฉินซื่อซิ่ว" (สี่ยอดฝีมือชิงเฉิน) ต่างหาก และนั่นก็ทำให้ลิ่งหูชงรู้ว่าคนร้ายเป็นศิษย์สำนักชิงเฉินดังที่คิดไว้จริงๆ  หลังสังหารชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าตนจนหมดแล้ว ลิ่งหูชงซึ่งบาดเจ็บเล็กน้อยหลังโดนฟันเข้าที่แขนก็รีบออกตามหาผิงจือกับหลิงซาน ในตอนนั้นผิงจือกับหลิงซานกำลังถูกกลุ่มชายชุดดำต้อนให้จนมุม ผิงจือจึงพาหลิงซานกระโดดหนีลงไปในน้ำ

หลังตามหาผิงจือกับหลิงซานในป่าแล้วไม่เจอ  ลิ่งหูชงจึงกลับมาที่สำนักคุ้มภัยฝูเวยและพบว่ามีคนตายเกลื่อน เขาได้ยินเสียงคนคุยกันในห้องโถงจึงค่อยๆ ย่องไปแอบดู ปรากฏว่าเจิ้นหนานกับหวังฟูเหริน (ซึ่งถูกทำร้ายจนบาดเจ็บทั้งคู่) กำลังถูกชายชุดดำสองคนบีบให้เผยที่ซ่อนคัมภีร์กระบี่ปราบมาร ครั้นเจิ้นหนานยืนกรานปฏิเสธโดยบอกว่าถึงตายก็ไม่ให้ ชายชุดดำจึงมอบความตายให้ทันที หวังฟูเหรินเห็นว่าสามีกำลังจะโดนสังหารเลยรีบเอาตัวเข้ามาขวางทำให้โดนกระบี่แทงทะลุทั้งคู่ หวังฟูเหรินเปรยว่าคัมภีร์กระบี่ปราบมารนำหายนะมาสู่พวกตนก่อนสิ้นใจตาย ลิ่งหูชงเห็นเจิ้นหนานกอดศพภรรยาพลางร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจก็รู้สึกเคียดแค้นจนเผลอกระแทกผนังเสียงดัง สองชายชุดดำจึงรีบวิ่งออกไปดู

ลิ่งหูชงจำได้ว่าหนึ่งในชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าตนคือเจ้าสำนักชิงเฉิง "อวี๋ชางไห่" จึงขู่ว่าจะแฉวีรกรรมอันต่ำช้าของอวี๋ชางไห่ให้โลกรับรู้และบอกให้เขาเตรียมเป็นศัตรูของชาวยุทธ อวี๋ชางไห่ขู่กลับว่าลิ่งหูชงไม่มีทางรอดออกไปจากที่นี่ ลิ่งหูชงชี้ว่าอาจารย์ตน 'กระบี่วิญญูชน' กำลังจะมาที่นี่ในไม่ช้า ('กระบี่วิญญูชน' เป็นฉายาของ "เย่ว์ปู้ฉิน" เจ้าสำนักหัวซาน) อวี๋ชางไห่ไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำจึงส่งสายตาบอกสมุนให้สังหารลิ่งหูชง หลังต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งในที่สุดลิ่งหูชงก็สังหารสองชายชุดดำได้สำเร็จ ชายชุดดำอีกคนจึงปรี่เข้ามาเล่นงานลิ่งหูชง แต่สุดท้ายก็โดนลิ่งหูชงถีบและซัดฝ่ามือใส่จนร่างกระเด็น โชคร้ายที่เขาตกลงไปทับกระบี่ที่ปักทะลุร่างชายคนหนึ่งทำให้ถูกกระบี่เสียบหน้าอกทะลุกลางหลังเสียชีวิต ที่แท้ชายโชคร้ายคนดังกล่าวคือ "อวี๋เหรินเยี่ยน" ลูกชายอวี๋ชางไห่ อวี๋ชางไห่เห็นลูกชายตายอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตาก็ร้องลั่นและรีบวิ่งเข้าไปดูศพลูกชายด้วยความเสียใจ ลิ่งหูชงเห็นดังนั้นจึงฉวยโอกาสหลบหนี อวี๋ชางไห่จึงรีบไล่ตามไปหมายชำระแค้น

หลังล่ออวี๋ชางไห่ไปทางอื่นแล้ว ลิ่งหูชงก็ย้อนกลับมาช่วยเจิ้นหนานซึ่งเห็นและได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขาจะพาเจิ้นหนานหลบหนีแต่เจิ้นหนานรู้ว่าตนไม่รอดแน่จึงฝากฝังผิงจือให้เป็นศิษย์สำนักหัวซานและขอให้สำนักหัวซานช่วยปกป้องลูกชายตน เขาดึงตัวลิ่งหูชงเข้าไปใกล้ๆ แล้วฝากบอกผิงจือว่าในบ้านหลังเก่าที่ตรอกเซี่ยงหยางมีของที่เป็นมรดกตกทอดของสกุลหลิน ผิงจือต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีและห้ามเปิดดูโดยเด็ดขาด เพราะท่านปู่หย่วนถูของตนสั่งเอาไว้ว่าคนรุ่นหลังห้ามเปิดดู (บรรพบุรุษสกุลหลินห้ามลูกหลานฝึกเพลงกระบี่ดังกล่าว)

ลิ่งหูชงจะพาเจิ้นหนานหลบหนีแต่ถูกอวี๋ชางไห่โจมตีด้วยความโกรธแค้นจนกระบี่หลุดมือและกระเด็นไปปักบนผนัง ซ้ำยังโดนถีบหน้าอกจนล้มลงไปนอนจุกที่พื้น วี๋อชางไห่จะตามมาเล่นงานซ้ำหมายเอาชีวิตลิ่งหูชง แต่เจิ้นหนานกอดและยึดกระบี่เขาไว้ไม่ยอมปล่อยเพื่อเปิดทางให้ให้ลิ่งหูชงหลบหนี ลิ่งหูชงไม่มีทางเลือกจึงพยายามลุกขึ้นแล้วถือฝักกระบี่วิ่งหนีไป อวี๋ชางไห่ต้องการตามไปชำระแค้นแต่ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดจึงใช้กระบี่คู่กายของลิ่งหูชง (ซึ่งปักอยู่บนผนัง) แทงเจิ้นหนานที่กลางหลังแล้วไล่ตามลิ่งหูชงไป

ผิงจือช่วยหลิงซานซึ่งอยู่ในสภาพหมดสติขึ้นจากน้ำและจะช่วยผายปอด แต่หลิงซานรู้สึกตัวเสียก่อนจึงสำลักน้ำใส่หน้าเขาเต็มๆ ผิงจือจะประคองหลิงซานให้ลุกขึ้นแต่กลุ่มชายชุดดำมาพบเข้าจึงขวางเอาไว้ หลิงซานขู่ว่าพ่อของเธอคือ "เย่ว์ปู้ฉิน" เจ้าสำนักหัวซาน หากเธอเป็นอะไรไปพ่อของเธอไม่ปล่อยทุกคนแน่ ชายชุดดำสวนกลับว่าต่อให้ผู้นำห้าขุนเขากระบี่ "จั่วเหลิ่งฉาน" มาเองพวกตนก็ไม่กลัว พูดจบชายคนดังกล่าวก็ถูกกระบี่แทงทะลุร่าง ที่แท้ติงเหมี่ยน (ศิษย์น้องของจั่วเหลิ่งฉาน) นำกำลังศิษย์สำนักซงซานมาช่วยทั้งคู่ไว้ได้ทัน

เมื่อผิงจือกลับมาที่สำนักคุ้มภัยฝูเวย (พร้อมหลิงซานกับติงเหมี่ยน) ก็พบว่าไฟกำลังลุกไหม้สำนักของตนอย่างหนัก เขาจึงฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปหมายช่วยพ่อกับแม่แต่กลับพบว่าทั้งคู่ถูกคนฆ่าตายแล้ว  เขาจึงได้แต่ร่ำไห้เสียใจ ขณะกอดร่างอันไร้วิญญาณของพ่อ ผิงจือแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นกระบี่สลักคำว่า "หัวซาน ลิ่งหู" ปักคาหลังพ่อของตน (หัวซาน คือ สำนักกระบี่หัวซาน / ลิ่งหู คือ แซ่ของพระเอก "ลิ่งหูชง") 

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น